ราฟาแอล โบอิค : นักมวยฝรั่งเศสแชมป์เวทีลุมพินี
“ถ้าผมคิดเรื่องหาเงินเป็นอันดับแรก ผมคงไม่เลือกชกมวยไทย แต่ผมต่อย เพราะผมรักมวยไทย” การตอบคำถามด้วยภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำของ ราฟาแอล โบอิค (Raphael Bohic) หรือ ราฟฟี สิงห์ป่าตอง นักมวยไทยอาชีพชาวฝรั่งเศส คงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า “เขารักมวยไทยมากแค่ไหน ?”
แรนส์ (Rennes) เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกตอนเหนือ ห่างจากปารีส 310 กิโลเมตร ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม วิถีชีวิตของผู้คนที่เรียบง่าย บ้านเมืองที่สะอาดสะอ้านตา จนถูกยกให้เป็น เมืองน่าอยู่ลำดับต้นๆ ของประเทศฝรั่งเศส ราฟาแอล โบอิค ใช้ชีวิตในวัยเด็กและเติบโตที่เมืองนี้ เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น เขาเรียนหนังสือควบคู่กับการทำงานเป็น “ช่างไฟฟ้า” ตามอาชีพที่ครอบครัวทำกันมา (ทำงานสองสัปดาห์, เรียนสองสัปดาห์) จนถึงอายุ 18 ปี
“ผมถูกใจกีฬาต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ตอนอายุ 6 ขวบ เคยเรียนยูโด ก็มิได้พึงใจอะไร ก็เลยเลิกไป พอเพียงอายุสักโดยประมาณ 14 ปี ถูกใจหาเวลาว่างเปิดคลิปมองการชกมวยมากมายต้นแบบ แม้กระนั้นที่ถูกใจมากมายสุด เป็น มวยไทย เนื่องจากสามารถศอกได้ ทำเป็นหลายสิ่งหลายอย่างไม่ผิดข้อตกลง ส่วนการต่อสู้แบบอื่น อย่าง คิก บอกสิง ผมดูแล้วมันไม่สนุกเลย”
“ผมถูกใจมองคลิปบัวขาว, แสนชัย หรือคลิปการต่อยนักมวยไทยเก่าๆเมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา ยิ่งเปิดมองก็ยิ่งทำให้ผมพึงพอใจมวยไทยเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพียงยังไม่มีโอกาสไปฝึกฝน จนถึงมารู้ว่ามียิมสอนมวยไทยเปิดอยู่ไม่ไกลจากที่ดำเนินงานห่างโดยประมาณ 10 กม. ทุกวี่วันข้างหลังเลิกงานตอนเวลาเย็น ผมจะขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปเรียนมวยไทยตรงนั้น ตั้งแต่ 2 ทุ่ม - 4 ทุ่ม แล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยกลับไปอยู่บ้าน”
ราฟฟี ได้เริ่มเรียนมวยไทย ตอนอายุ 17 ปี ซึ่งแม้เทียบกับเด็กไทยก็ถือว่าเริ่มช้ามากมาย แม้กระนั้นเขารู้สึกว่าไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา เนื่องจากว่าเขารู้สึกสนุกสนานรวมทั้งเต็มอกเต็มใจจะอ่อนเพลียเพิ่มในแต่ละวันข้างหลังเลิกงาน จนกระทั่งมวยไทยแปลงเป็นความคลั่งไคล้ที่ ราฟฟี ถอนตัวไม่ขึ้น
หนุ่ยน้อยจากเมืองแรนส์ เพียรพยายามเดินทางหารายการชกมวยไทยในประเทศประเทศฝรั่งเศส แต่ว่าโชคร้ายที่ไฟต์มีจัดไม่บ่อยนักและก็เว้นตอนนานเหลือเกิน ทำให้ ราฟฟี้ เริ่มต้องการเริ่มเดินทาง ไปสัมผัสประสบการณ์ต่อยจริง ถูกฝึกการสอนจริง โดยชาติเจ้าตำรับกีฬาประเภทนี้
“ที่ประเทศฝรั่งเศส ปีๆหนึ่ง จะมีรายการต่อยเพียงแค่ 4-5 ไฟต์เพียงแค่นั้น แต่ว่าผมเคยได้ฟังมาว่าที่ประเทศไทย มีรายการต่อยทุกเดือน ผมก็เลยต้องการหาช่องทางมาต่อยที่ไทย ผมต้องการขึ้นเวทีต่อยจำนวนมากในเวลานั้นผมดำเนินงานได้เงิน เดือนละราวๆ 50,000 บาท ก็เบาๆเก็บสะสม จนถึงมีเงินก้อนหนึ่งเป็นทุนส่วนตัว สำหรับบินมาเรียนมวยไทย"
สัมภาระเสื้อผ้าปริมาณหนึ่งถูกใส่ลงในกระเป๋าที่มีไว้ใส่ของเมื่อเดินทาง พร้อมด้วยเงินเก็บปริมาณหนึ่งที่ได้มาจากการทำงานประจำอย่างขยันขันแข็ง เป็น สองสิ่งสำคัญๆที่ราฟฟี้ โบอิค ได้นำขึ้นเครื่องเริ่มเดินทางไปยังอีกซีกโลก ในดินแดนที่ห่างไกลออกไปจากถิ่นที่อยู่อาศัยของเขากว่า 12,000 กม.
เสียงพิณพาทย์อันเร่งเร้า เคล้ากับเสียงกลองชวา จากวงดนตรีปี่กลอง ที่ร้องเพลงอยู่ด้านข้างสนามแข่งมวย ท่ามกลางบรรยากาศเสียงสนั่นที่ไม่เคยหยุด ของเซียนมวยแล้วก็ผู้ชมในสนามมวยมาตรฐาน “ลุมพินี” เป็นประสบการณ์การต่อยคราวหนึ่ง ที่น่าระทึกใจของ ราฟฟี โบอิค นักมวยโนเนมชาวประเทศฝรั่งเศสวัย 18 ปี ที่ได้ได้โอกาสเดินทางจากจังหวัดภูเก็ต ขึ้นมาต่อยบนสังเวียนอันมีเกียรตินี้
“ทีแรกที่มาประเทศไทย ผมไปฝึกอยู่ที่ แฟร์เท็กซ์ ก็ซ้อมไปได้ระยะหนึ่ง จนถึงหมดเงินเก็บ ก็บินกลับไปดำเนินงานคิดบัญชีรวมทั้งมาประเทศไทยเป็นครั้งลำดับที่สอง โดยเข้ามาซ้อมกับค่ายซ้อมมวย ราชสีห์ป่าตอง ที่ จังหวัดจังหวัดภูเก็ต”
“มูลเหตุที่แปลงมาฝึกซ้อมตรงนี้ เพราะว่ามีเพื่อนพ้องชี้แนะให้มา เขาพูดว่า ค่ายนี้สอนดี ดูแลดี ฝรั่ง คนประเทศไทย เสมอภาค แถมมีรายการให้ต่อยด้วย”
“ความตั้งอกตั้งใจแรกผมรู้สึกว่าจะอยู่สัก 4 เดือน เงินหมดค่อยกลับประเทศฝรั่งเศสไปทำงานต่อ แม้กระนั้นระหว่างที่ฝึกอยู่ ราชสีห์ป่าตอง ผมได้ขึ้นสังเวียนราว 9 ไฟต์ พบพวกสมัครเล่นเช่นกันชนะน็อกได้หมดเลย ค่ายก็เลยพาผมไปทดลองต่อยลุมพินี 1 ครั้ง”
“เพียงพอใกล้ถึงเวลา คนแก่ทางค่ายก็พอใจ ต้องการให้ผมชกมวยไทยต่อ ผมก็เลยบินกลับประเทศฝรั่งเศส ไปทำเรื่องเอกสารราว 2 อาทิตย์ และก็ตกลงใจมาดำรงชีวิตอยู่เป็นนักมวยที่ไทยจนถึงทุกวันนี้”
การได้รับการถ่ายทอดความรู้มวยไทย จากโค้ชคนไทย บวกกับได้ทดลองต่อยในสนามจริงที่ค่ายมีโปรแกรมจัดต่อยที่ จังหวัดจังหวัดภูเก็ต แต่ละวันเสาร์ ทำให้ ราฟฟี้ โบอิค ยิ่งหลงใหลมวยเข้าอย่างสุดหัวใจ
ก่อนที่จะเขาจะตกลงใจ เลือกเอาดีทางการชกมวยไทย ตามคำเชื้อเชิญของ ชายหนุ่ม เมืองหาดใหญ่ (สมคิด พัดบุรี) โปรโมเตอร์รวมทั้งผู้ดูแลภาควิชาราชสีห์ป่าตอง ที่ชื่นชอบในความขยันของนักต่อยฝรั่งคนนี้ โดยเวลานี้เขามี ดาภรรยาน อลุกลามอส เพื่อนร่วมชาติที่เคยเป็นแชมป์สนามมวยลุมพินี เป็นแรงดลใจที่เขาต้องการเดินตามรอย
ถึงแม้เบื้องต้นเขามิได้มีความสามารถด้านมวยไทยที่ดีนัก เมื่อเทียบกับนักมวยคนไทย โดยยิ่งไปกว่านั้นทางเทคนิค ทั้งยังเรื่องเชิงมวย เหลี่ยมมวย หรือการออกอาวุธให้ร้ายแรงได้น้ำหนัก แม้กระนั้นการที่เขาถูกฝึกหัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นระยะเวลานานในวันแล้ววันเล่า เริ่มทำให้เขามีความเจริญที่ดียิ่งขึ้น อย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป
“ฝึกมวยไทยที่ไทย มันอีกทั้งหนัก ทั้งยังอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก และก็ยากมากมายๆเลย จะต้องใช้เวลาฝึกซ้อมวันละหลายชั่วโมง แบ่งเป็นตอนเช้าตรู่กับตอนเวลาเย็น บางคราวอิดโรยกระทั่งร่างกายแทบไม่ไหวแล้ว แม้กระนั้นจิตใจก็กล่าวว่า เอาอีก เอาอีก เนื่องจากพวกเรายังจำเป็นต้องศึกษาหลายประเภทมากมายในกีฬาชกมวยไทย”
“อยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ผมได้เรื่องหมัดกับเตะ แต่ว่ามาอยู่ไทย ผมได้ฝึกหัดเรื่องศอกกับหัวเข่า รวมทั้งการกอดปลุกปล้ำด้วย ซึ่งยากมากมายๆจำต้องเรียนทุกเมื่อเชื่อวัน วันละหลายชั่วโมง กว่าจะไล่แขนเป็น ผมเริ่มจากฝึกฝนปลุกปล้ำกับคนตัวเล็กกว่า คิดออกว่าตอนแรกๆผมปลุกปล้ำสู้เขามิได้เลย ทั้งๆที่ตนเองใหญ่มากยิ่งกว่า พอเพียงเริ่มปลุกปล้ำเป็น ก็เบาๆขยับมาพบผู้ที่หุ่นใกล้เคียงกัน ในเวลานี้ผมปลุกปล้ำผู้ที่ตัวใหญ่มากยิ่งกว่าได้แล้ว”
“ทีแรกๆที่ราฟฟี้อยู่กับพวกเรา เขามิได้ต่อยอย่างนี้เลย สไตล์เขาจะเดินแข็งทื่อ ด้วยเหตุว่าเขาไม่มีประสบการณ์มาก่อน แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขามีสไตล์การต่อยไม่เสมือนฝรั่งชกมวย ดูอย่างกับว่าคนประเทศไทยมากยิ่งกว่า เนื่องจากว่าเขาเป็นผู้ที่เชื่อโค้ชมากมาย ไม่ว่าจะสอนอะไร เขาจะยอมรับฟัง และก็ประพฤติตามหมด โดยไม่มีปัญหา”
“ฝรั่งบางบุคคล ที่เคยเรียนมวยไทยในประเทศเขามาก่อน บางครั้งบางคราวเพียงพอมาพบการสอน สมัคร ts911 โดยคนประเทศไทย เขาก็บางครั้งก็อาจจะปฏิเสธในบางขั้นตอนการสอน หรือเคล็ดวิธีที่โค้ชถ่ายทอด เนื่องจากว่าถือดีแล้ว ก็เลยทำให้เขามีสไตล์การต่อยที่ไม่เสมือนคนประเทศไทย”
“แต่ว่าราฟฟี้เขามิได้คิดแบนนั้น เขาเป็นผู้ที่น้ำไม่เต็มแก้ว มีความทรหดอดทนสูง มีทะเบียนระเบียบ ขยัน ก็เลยทำให้เขาสามารถต่อยได้คล้ายกับนักมวยไทย ถึงแม้เขาจะเริ่มต่อยตอนอายุ 18 ปีแล้ว” ขว้างริฉัตร พัดบุรี ผู้จัดการค่ายฝึกซ้อมมวย ราชสีห์ป่าตอง-ลูกศิษย์ชายหนุ่ม เล่าราวของ ราฟฟี้ ในตอนที่เจ้าตัวกำลังซ้อมในช่วงเวลาเย็น
“ผมถูกใจมวยไทย เพราะเหตุว่าออกอาวุธไม่ต้องมากมาย แต่ว่าสุดกำลัง หนักทุกลูก เป็นกีฬาที่อันตรายอย่างยิ่ง อย่างผมเย็บมา 100 กว่าเข็มแล้ว เหนือขนคิ้ว ใต้ตา หางขนคิ้ว ตรงศอก เคยเย็บมากมายสุดครั้งเดียว 17 เข็ม ความรู้สึกในตอนที่มีแผลแตก มันรู้สึกร้อนๆแต่ว่ามิได้เจ็บ ที่เจ็บสุดเป็นตอนเย็บแผล เจ็บมากยิ่งกว่าตอนต่อยเสียอีก แล้วจะต้องรีบเย็บด้วย เพราะว่ามันยังร้อนอยู่ ถ้าหากช้าจะเจ็บมากยิ่งกว่านี้”
“บางครั้งบางคราวโดนเตะกระดูกซี่โครง นอนกลับตัวมิได้เลย อาชีพนักมวยไทยไม่ง่ายเลย เอาจริงเอาจังๆผมไม่ค่อยคิดหรอกว่าตนเองจะเป็นแชมป์ ผมเพียงแค่ต้องการมีรายการต่อยเป็นประจำต้องการต่อยให้ผู้ชมตรึงใจ ผมชอบใจที่เวลาไปสนามแข่งมวย มีคู่รักมวยชาวไทยมาขอถ่ายภาพ เข้ามาทัก รู้สึกสุขสบายมากมาย”