แม้จะแขวนสตั๊ดไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2013 โดยมี ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง มหาอำนาจแห่งลีกเอิงฝรั่งเศสเป็นสโมสรสุดท้ายในชีวิตค้าแข้งแต่ เดวิด เบ็คแฮม เทพบุตรสุดหล่อแห่งวงการฟุตบอลยังคงเป็นชื่อที่ขายได้เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
เพราะหากคุณสังเกตก็จะเห็นว่าอดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษผู้นี้ยังคงปรากฎโฉมตามหน้าสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณา,ภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่งการออกงานอีเวนท์ พนันแบดมินตัน ต่างๆอย่างต่อเนื่องจนผู้คนคุ้นหน้าและชื่อของเขามากกว่านักกีฬาในยุคปัจจุบันหลายๆ คนเสียด้วยซ้ำไม่ต้องสงสัยเลยว่า แบรนด์ “เดวิด เบ็คแฮม” ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่แข็มแกร่งที่สุดของโลก แต่เหตุใดที่ทำให้ชื่อนี้ยังคงโดดเด่นอย่างเข้มแข็ง แม้เขาจะอำลาบทบาทที่สร้างชื่อไปครึ่งทศวรรษแล้วก็ตามกัน?
ทุกวันนี้นอกจากการปั้นสโมสร อินเตอร์ ไมอามี่ เพื่อลงเล่นในเมเจอร์ลีก ซอคเก้อร์ หรือ MLS ในฤดูกาล2020แล้ว เจ้าตัวยังเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์รวมถึงเป็นพรีเซนเตอร์ของสินค้าหลายยี่ห้อจากหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็น adidas แบรนด์เสื้อผ้ากีฬาคู่บุญตั้งแต่สมัยยังค้าแข้ง, เสื้อผ้าแฟชั่น H&M, นาฬิกา TUDOR, บริษัทประกันชีวิต AIA และหากจะนับแบรนด์อื่นๆทั้งในอดีตและปัจจุบันบอกได้เลยว่านับไม่หวาดไม่ไหว
แม้จะแขวนสตั๊ดไปแล้ว 5ปี แต่หลายคนอาจไม่เชื่อว่า ทุกวันนี้มีเงินเข้าบัญชีของเบ็คแฮมอย่างสม่ำเสมอเดือนละกว่า 1.2 ล้านปอนด์ หรือ 51 ล้านบาท หรือคิดให้น่าทึ่งกว่านั้น ใน 1 วัน เขาจะมีรายได้ถึงราว 40,000 ปอนด์ หรือ 1.7 ล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งมากกว่าค่าเหนื่อยสมัยที่เจ้าตัวเป็นนักเตะเสียอีก
ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าตัวยังเปิดตัวธุรกิจหลายอย่างทั้งที่ใช้ชื่อ “เดวิด เบ็คแฮม” และแบรนด์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า, น้ำหอม, เครื่องประดับ แม้กระทั่ง วิสกี้ ก็มีเช่นกัน
ด้วยจำนวนสินค้าที่มีตัวเขาปรากฎโฉมมากมายเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่เทพบุตรลูกหนังรายนี้จะมีบริษัทที่ดูแลกิจการต่างๆ ของเขาหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Seven Global LLP ที่ดูแลกิจการเสื้อผ้า,เครื่องประดับ รวมถึงน้ำหอมซึ่งเจ้าตัวเปิดกิจการเอง รวมถึงที่ขายภายใต้แบรนด์ที่เซ็นสัญญาไว้, Footwork Productions ที่ดูแลเรื่องการใช้ชื่อรวมถึงลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ ทั้งสองบริษัทต่างอยู่ภายใต้ร่มเงาของบริษัท DB Ventures ซึ่งมี Beckham Brand Holdings ควบคุมทุกอย่างอยู่ด้านบนสุด แต่ไม่ว่าบริษัทไหน ต่างเกิดขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์เดียวกัน คือ“แสวงหาผลประโยชน์จากชื่อและลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ของ เบ็คแฮม”โดยเฉพาะ ซึ่งมูลค่าของบริษัทที่ดูแลสิทธิประโยชน์ให้เบ็คแฮมในปัจจุบันสูงถึง 339 ล้านปอนด์ หรือ 14,400 ล้านบาท
แน่นอนว่า กว่าที่เบ็คแฮมจะกลายเป็นไอค่อนของคนทั่วโลกจนมีรายได้มหาศาลเขาย่อมต้องผ่านอะไรมามากมาย ซึ่งเรื่องดังกล่าว “บิ๊กจ๊ะ” สาธิต กรีกุล ผู้ประกาศข่าวกีฬา สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 รวมถึงผู้บรรยายกีฬาชื่อดัง ที่ติดตามพัฒนาการของอดีตนักเตะผู้นี้ตั้งแต่สมัยยังเป็นดาวรุ่งกล่าวว่า“หลายคนอาจจะบอกว่า เบ็คแฮม ไม่ใช่นักฟุตบอลที่มีทักษะอันเป็นเลิศเมื่อเทียบกับหลายๆ คน แต่จุดเด่นของเขาคือ ความพยายาม เพราะไม่ว่าเบ็คแฮมจะเจอกับเรื่องยากลำบากในชีวิตแค่ไหน ที่สุดแล้วเขาก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้เสมอจนทุกคนยอมรับในตัวเขาไปด้วย”
และในตอนที่ย้ายไปค้าแข้งกับต้นสังกัดอื่น เบ็คแฮมก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้เช่นกันโดยเฉพาะตอนเล่นกับ เรอัล มาดริด ซึ่งปีสุดท้ายของเจ้าตัวในฤดูกาล 2006/07 เขาถูก ฟาบิโอ คาเปลโล่ กุนซือของทีมในตอนนั้นจับดองอยู่ข้างสนาม แต่สถานการณ์ที่คับขันของทีม ก็ทำให้กุนซือชาวอิตาเลียนต้องใช้งานสตาร์ดังชาวอังกฤษคนนี้ ซึ่งเขาก็ช่วยให้ทีมราชันชุดขาวคว้าแชมป์ลาลีกา เป็นแชมป์แรกและแชมป์เดียวในการค้าแข้งที่สเปนได้สำเร็จ
ซึ่งหากจะนับเรื่องราวการพิสูจน์ตัวเองผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากของผู้ชายคนนี้ ถือว่าเยอะแยะมากมายเริ่มตั้งแต่ตอนที่ เข้า TS911 ไม่ได้ เขาตกเป็นแพะรับบาปจากการโดนใบแดงในเกมที่ทีมชาติอังกฤษตกรอบ 16 ทีม ฟุตบอลโลก 1998 เขาก็กลับมาด้วยการนำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้นสังกัดแจ้งเกิดคว้า 3 แชมป์ในปีถัดมารวมถึงซัดฟรีคิกสำคัญนำทีมสิงโตคำรามไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 รอบสุดท้ายจนทุกคนยกให้เขาเป็นฮีโร่ของชาติโดยไม่มีข้อแม้
นอกจากนั้นต้องไม่ลืมว่าเบ็คแฮมถือเป็นนักเตะอีกรายที่มีหน้าตาหล่อเหลาวางตัวได้ถูกกาลเทศะเป็นมิตรกับแทบทุกคน รวมถึงทำงานการกุศลอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกับ UNICEF ที่เจ้าตัวเป็นทูตให้ตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเตะ เรื่องที่กล่าวมาถือเป็นปัจจัยเสริมสำคัญที่ทำให้“ออร่าซูเปอร์สตาร์”ของเจ้าตัวแจ่มชัดยิ่งขึ้น แม้จะเคยมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับ วิคตอเรีย ภรรยาจากปัญหามือที่ 3 อยู่บ้าง แต่ที่สุดแล้วเขาก็สามารถฝ่าฟันจากสถานการณ์ปัญหาต่างๆได้ทุกครั้งซึ่งนั่นช่วยให้ภาพลักษณ์ของเขามีความแข็งแกร่งมากๆ เช่นกัน
ประวัติชีวิตที่ผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาแล้วนับไม่ถ้วน ภาพลักษณ์ส่วนตัวและครอบครัวที่แทบไร้ที่ติ สนิทสนมกับบุคคลดังๆ ที่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์และความโด่งดัง รวมกับการตระหนักรู้ตนเองเสมอว่า ควรทำอย่างไรถึงจะตกเป็นที่สนใจของสังคมอยู่เสมอ คือสิ่งที่ทำให้ตัวตนและแบรนด์ เดวิด เบ็คแฮม ยังคงเข้มแข็งเสมอแม้ไม่ได้สวมสตั๊ดเป็นนักฟุตบอลอาชีพอีกแล้วก็ตาม
แม้ปัจจุบันจะปรากฎข่าวลือแปลกๆ บนหน้าสื่ออย่าง Daily Mail ว่า เบ็คแฮมเตรียมแยกทางกับ ไซม่อน ฟูลเลอร์ ชายผู้ปั้นแบรนด์ของตัวเขาให้มีชื่อเสียง เพื่อดูแลเรื่องนี้ด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้มีอิสระในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น แต่ด้วยการสั่งสมประสบการณ์มายาวนาน รวมถึงมีมิตรสหายอีกมากที่พร้อมให้การสนับสนุน เราจึงเชื่อว่า แบรนด์เบ็คแฮมก็ยังจะคงเข้มแข็ง เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลกเช่นเดิม
และที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ เบ็คแฮมที่แปรสภาพตัวเองจากนักฟุตบอล สู่นักธุรกิจและป้ายโฆษณาที่มีชีวิตอย่างเต็มตัวนี้ จะสามารถผลักดันแบรนด์ของเขาไปได้ไกลอีกแค่ไหน ซึ่งไม่ว่าอย่างไร คนที่ได้ประโยชน์ รวมถึงรับทรัพย์แบบเนื้อๆ ที่สุด ก็หนีไม่พ้น เบ็คแฮม อยู่ดี