ไม่มีผู้ใดสงสัยในพลังการเตะของนักมวยสายโลหิตไทย แม้กระนั้นคนอ่านเคยสงสัยหรือไหม เหตุไร? กีฬาต่อสู้ที่ใช้หมัดรวมทั้งเท้าอย่าง “Kickboxing” กลับไม่ค่อยมีแชมป์โลกคนประเทศไทย
ถ้าหากจะหากีฬาสักประเภทหนึ่ง ที่มีความเหมือนกับ ศิลป์การต่อสู้ประจำชาติไทยสูงที่สุด คนอ่านหลายๆคนอาจระลึกถึง “คิกบอกซิ่ง” (Kickboxing) ศิลป์การต่อสู้ที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น
เพราะว่าถ้าเกิดดูแบบผิวเผิน จะมองเห็นได้ว่า Kickboxing สามารถใช้เท้าแล้วก็หมัดได้ราวกับมวยไทย ไม่เหมือนกันเพียงแค่ห้ามใช้หัวเข่ารวมทั้งศอก แม้เป็นแบบนั้น ชาติที่มีนักสู้ชำนาญหัวข้อการเตะ และก็การต่อย เบอร์ต้นๆของโลก อย่างเมืองไทย ก็มองไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แม้คิดจะเอาดีทางกีฬาประเภทนี้
หลังจากนั้นไม่นาน คิกบอกซิ่ง ถูกเอามาเผยแพร่ยังเมืองไทย โดยโนงูชิ กระทั่งมีการต่อย คิกบอกซิ่ง ครัั้งแรกในโลก ระหว่างนักมวยไทยกับนักมวยประเทศญี่ปุ่น ตอนวันที่ 11 เดือนกุมภาพันธ์ 1967 ที่สนามมวยลุมพินี
การต่อยในคราวนั้น ได้รับความพอใจจากแฟนมวยเยอะมากๆ แม้กระนั้นฝั่ง ไทย ประเมิน ศิลป์การต่อสู้ใหม่จากประเทศญี่ปุ่นไว้ค่อนข้างจะต่ำ ก็เลยเลือกส่งนักต่อย 3 ผู้ที่เป็นเกรดรองลงต่อย
ผลของการต่อย เห่าไฟ ลูกลำคลองตัน นักต่อยที่ใกล้ปลดจากตำแหน่ง เป็นข้างแพ้ อาคิโอะ ฟูจิฮารา ส่วน ตั้ง แซเล้ง ที่ผันตัวมาเป็นเทรนเนอร์ ก็แพ้ให้กับ ทาดาชิ นากามูรา มีเพียงแต่ ก่อกวน เดชาชัย นักมวยตามที่ร้างสังเวียนไปร่วมปี พบกับ เคนจิ คูโรซากิ แม้กระนั้นไฟต์นี้ รบกวน กู้หน้าไล่ตะบันจนกระทั่งนักต่อยประเทศญี่ปุ่นพ่ายแพ้น็อก
ข้างหลังไฟต์นั้น มีเรื่องมีราวเล่าว่า คนภายในแวดวงมวยไทย ออกจะไม่ชอบใจที่ โนงูกิ บากบั่นใช้อุบายสารพัน เพื่อทำให้เกียรติศักดิ์ของ คิกบอกซิ่ง มีชื่อเสียงในฐานะกีฬาการต่อสู้ที่ดีสุดในโลก ทั้งยังข่าวโคมลอยประเด็นการยุยงให้ เห่าไฟ ยอม แลกเปลี่ยนกับการนำตัวไปต่อยที่ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งการมาศึกษาศาสตร์มวยไทย เพื่อนำไปปรับปรุงให้ มวยคิกบอกซิ่ง ประเทศญี่ปุ่น ให้เป็นตัวเป็นตน
หากแม้อีก 8 ปีถัดมา ข้างไทย แก้ตัวคืนได้สำหรับการเอาชนะ นักมวยคิกบอกซิ่ง จากประเทศญี่ปุ่น แม้กระนั้นมีเรื่องมีราวเล่าว่า โนงูชิ ถูก จอมพลถนอม คำเล่าลือฟุ้งกระจาย ขับไล่ออกมาจากประเทศ ข้างใน 1 วัน เพราะว่าเป็นบุคคลที่ไม่อยากจะปรารถนาของประเทศ
โน่นก็เลยฯลฯโคนที่ทำให้ “มวยคิกบอกซิ่ง” ไม่ได้รับความนิยมในไทย แถมยังมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี ถึงแม้ประเทศญี่ปุ่นจะปรับปรุงกีฬานี้ต่อ จนกระทั่งทำให้ มวยคิกบอกซิ่ง เริ่มแพร่หลายไปยังหลายๆประเทศทั้งโลก ในตอน 1960s เป็นต้นมา แม้กระนั้นแม้กระนั้น คิกบอกซิ่ง ก็ยังไม่อาจจะเจาะตลาดในไทยได้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้
“มวยคิกบอกซิ่ง เริ่มเข้ามาประเทศไทย ด้วยภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก คนภายในแวดวงมวยสมัยนั้น เห็นว่านี่เป็นกีฬาของประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาล้างผลาญมวยไทย แถมยังเอาศิลป์ของพวกเราไปปรับเปลี่ยนเป็นของตนเอง ทำให้ชาวไทยไม่ค่อยอินกับ คิกบอกซิ่ง รวมทั้งมีความรู้สึกแง่ลบกับกีฬานี้”
“แม้กระนั้นความจริง มวยคิกบอกซิ่ง มีการแตกกิ่งก้านสาขาออกไปหลายสาย ทั้งยัง คิกบอกซิ่ง แบบประเทศญี่ปุ่น, บราซิล, ดัดช์, อเมริกา มิได้มีเพียงแค่แบบประเทศญี่ปุ่น โดยแต่ละสาย ก็มีต้นแบบ กฏ ข้อตกลง ที่แตกต่างนัก แม้กระนั้นโดยหลักการจะไม่มีการใช้ ศอกและก็หัวเข่า เนื่องจากจะให้เลือดไหล แล้วก็ไฟต์จบเร็ว” ปลาย - จิติณัฐ อัษฎามงคล นายกชมรมสหพันธรัฐศิลป์การต่อสู้ประสมประสานเมืองไทย (TMMAF) รวมทั้ง ว่าที่ประธาน ONE Championship (เมืองไทย) ขยายความเพิ่มอีก
เนื้อความส่วนใดส่วนหนึ่งจากบทความ “มวยคิกบอกซิ่ง VS มวยไทย : ความคล้ายคลึงที่ต่างกัน” ที่ถูกถ่ายทอดจากประสบการณ์และก็ค้นหาข้อมูล จาก “เบนจามิน สินบีมวยไทย” - ผู้เคยผ่านการต่อย มวยไทย, MMA บราสิเลียน ชาวยิวยิตสู รวมทั้งการต่อสู้แบบตะวันตก
เขาชี้แจงว่า มวยคิกบอกซิ่ง มีรากส่วนใดส่วนหนึ่งมาจาก มวยไทย แต่ว่าทั้งคู่กีฬาก็มีสไตล์การต่อสู้ที่ไม่เหมือนกันมากพอควร เบนจามิน ยกตัวอย่าง มวยคิกบอกซิ่ง แบบอเมริกา (American Kickboxing) เป็นแบบอย่างการต่อสู้ที่มิได้เกี่ยวกับข้องมวยไทย แม้กระนั้นได้รับอิทธิพลมาจาก คาราเต้ ฟูล คอนแทก (Karate Full Contact) ซึ่งเป็นที่นิยมในอเมริกา ตอนสมัย 60s-80s ประสมประสานกับ มวยคิกบอกซิ่ง ประเทศญี่ปุ่น ก่อนปรับปรุงมาเป็น คิกบอกซิ่ง แบบอย่างอเมริกา ที่ห้ามเตะน้อยกว่าสายรัดเอว และก็ห้ามกอด (จะถูกแยกโดยทันที)
ในขณะที่ คิกบอกสิง ในประเทศญี่ปุ่น อย่างรายการ K-1 สามารถเตะได้อีกทั้งส่วนบน และก็ด้านล่างของร่างกาย รวมทั้งเคยอนุญาตให้ตีเข่าได้ กอดได้ (แต่ว่าจำกัดปริมาณครั้ง) เช่นเดียวกันกับ คิกบอกสิง แบบชาวดัตช์ (Dutch Kickboxing) ที่อนุญาตให้เตะตัดด้านล่างได้ เพราะเหตุว่าได้รับอิทธิพลมาจากประเทศญี่ปุ่น ส่วน Kickboxing จีน (Chinese Kickboxing,San Chou,Sanda) มีการประสมประสานระหว่าง มวยไทย, มวยปล้ำ, กังฟู ยูโด ก็เลยสามารถทุ่ม รวมทั้งกอดได้
ความต่างในเรื่องของสไตล์ รวมทั้งต้นแบบการต่อย คิกบอกซิ่ง ที่นานัปการ ตามแต่ละประเทศ ย่อมทำให้ นักมวยไทย ที่จะต้องออกไปต่อย คิกบอกสิง ในต่างประเทศ (เพราะว่าเมืองไทยไม่มีจัดแจง คิกบอกสิงอาชีพ) มักมองเสียเปรียบคู่ต่อสู้ ตั้งแต่สมัยเริ่มต้น K-1
ด้วยเหตุว่าคิกบอกสิง เป็นกีฬาที่มีกฏ ข้อตกลง แนวทางการให้แต้มที่แตกต่างจากมวยไทย (ในประเทศไทย) ทำให้นักต่อยบ้านพวกเรา เจอกับพบความยุ่งยาก และไม่สามารถแสดงความสามารถออกมาได้อย่างมาก เพราะเหตุว่าถูกตัดทอนอาวุธ แถมบางเวลายังถูกหักคะแนนจากแนวทางการทำฟาวล์ ในจังหวะที่ตัวเองเคยชิน
“เนื่องจากว่าเขาเชื่อถือนักมวยไทยมากมาย เพราะว่าเป็นสายพันธุ์นักสู้ที่แกร่งสุดในโลก ผู้ผลิต K-1 ก็เลยบากบั่นเอานักมวยไทยไปต่อย คิกบอกซิ่ง ด้วยการวางค้างแรกเตอร์ให้พวกเราเป็นราวกับ ตัวประหลาดที่นักมวยประเทศญี่ปุ่นจำต้องเอาชนะให้ได้” จิติณัฐ อัษฎามงคล ว่าที่ประธาน ONE Championship กล่าวเริ่ม
“อุปสรรคที่มีความสำคัญเป็น องค์ประกอบคิกบอกสิงในไทยยังไม่มี คุณครูมวยที่มีความรู้และมีความเข้าใจเกี่ยวกับ Kickboxing ยังมีน้อย รวมทั้งค่ายเยอะแยะก็ไม่ยังค่อยช่วยเหลือให้นักมวยตนเองไปต่อย คิกบอกสิง เนื่องจากอาจมีความศรัทธาว่า คิกบอกสิงเป็นกีฬาที่ตัดทอนค่ามวยไทย”
“ทั้งๆที่ในความเป็นจริง มวยไทย สามารถศึกษาหลายๆอย่างจาก คิกบอกสิงได้ ตัวอย่างเช่น ระบบวิทยาศาสตร์ การฝึกหัดปรับปรุงนักมวยอย่างมีระบบ รวมทั้งสร้างค่าให้นักมวยได้มากมาย อย่าง บัวขาว, พี่แสนชัย ที่มีชื่อในต่างถิ่นเพราะเหตุว่าการต่อยคิกบอกสิง”
“ก็โชคร้ายเช่นเดียวกัน เพราะว่าขณะที่ นักคิกบอกสิงต่างประเทศ เดินทางมาฝึกหัดและก็ซึบดูดซับแล้วก็นำเอาวิธีอะไรบางอย่างของ มวยไทย ไปปรับปรุงจนกระทั่งเป็น นักคิกบอกสิงที่กล้า บ้านพวกเรายังไม่ค่อยเปิดรับที่จะศึกษาอะไรบางอย่างจาก คิกบอกสิง รวมทั้งยังใกล้กับการเดิมพันมากจนเกินความจำเป็น”